วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สลัด

the salad concept
หากเดินผ่านไปแถวถนนนิมมาห์เหมินทร์ ซอย 13 จังหวัดเชียงใหม่ จะสะดุดตากับร้านหนึ่งตั้งอยู่หน้าปากซอย The Salad Concept ร้านดังในย่านถนนนิมมานห์ มีลูกค้าแน่นตลอดทั้งวัน แน่นอนจากชื่อร้าน เมนูหลักและเด็ดคงไม่พ้นสลัด สำหรับคนที่ชอบทานผัก ห่วงใยสุขภาพ ชอบนั่งในร้านบรรยากาศชิวๆ The Salad Concept คือ อีกหนึ่งทางเลือก ที่มาพร้อมสารพัดเมนูสลัด เสริฟ์พร้อมน้ำสลัดแบบต่างๆ ให้เลือกมากมายถูกใจคนชอบทานผักโดยแท้
the salad concept
ผักที่เอามาใช้ก็เป็นผักสดแบบ Hydroponic สั่งตรงจากสวนทุกวัน
the salad concept
เมนูมีให้เลือกเยอะมาก และนอกจากเมนูสลัดแล้ว ยังมีน้ำสมุนไพร น้ำผักผลไม้ทั้งแบบคั้นแยกกากสดๆ และน้ำผลไม้ปั่น เช่น น้ำผักสูตรต้านมะเร็ง สมูทตี้สูตรดีท๊อก ไว้ดับกระหายอีกด้วย
the salad concept
สลัดของที่นี่นอกจากจะสั่งตามเมนูที่ทางร้านจัดไว้ให้ ซึ่งจะจัดมาเป็นชุด ทั้งผัก?ท้อปปิ้ง น้ำสลัด เช่น สลัดหน้าปลาแซลมอน สลัดเนื้อย่างซีอิ๊วญี่ปุ่น สลัดเบคอน สลัดทูน่า แล้ว เรายังสามารถเลือกเมนูเองได้อีกด้วย โดยเลือก ผัก ท้อปปิ้ง เนื้อสัตว์เช่น เนื้อวัว กุ้ง เบคอน ทูน่า ปลาแซลมอนดิบ??ส่วนน้ำสลัดเองมีให้เลือกมากมาย เช่นกัน เช่น ซีอิ๊วญี่ปุ่น, น้ำสลัดใสฝรั่งเศส น้ำเครอท มะขาม-งาดำ เต้าหู้ ฟักทอง ?ฯลฯ

http://www.paiduaykan.com/travel/the-salad-concept/   เว็บอ้างอิง : 

สเต็ก

สเต็กหมูม้วน

ส่วนผสม
ส่วนผสมการทำสเต็กหมูม้วน
     สันคอหมู                            1         กิโลกรัม
     นมข้นจืดระเหย                   ½         ถ้วย
     ซอสปรุงรส                         2         ช้อนชา
     น้ำตาลทราย                       1          ช้อนโต๊ะ
     ผงปรุงรส                           1          ช้อนโต๊ะ
     พริกไทยเม็ดบุบหยาบ           1          ช้อนโต๊ะ
     ลูกจันทร์ผง                        2          ช้อนชา
     เกลือป่น                            1          ช้อนชา
     ใบกระวาน                         4           ใบ
ส่วนผสมน้ำซอส
     น้ำซุป                              4           ถ้วยตวง
     เนยสด                             3           ช้อนโต๊ะ
     หอมหัวใหญ่                     30           กรัม
     พริกไทยดำเม็ดบุบ             1            ช้อนโต๊ะ
     วิปปิ้งครีม                        ¾           ถ้วยตวง
     เกลือป่น                         ½            ช้อนชา
     แป้งข้าวโพด                     2            ช้อนโต๊ะ   *          
     น้ำเปล่า                          ¼            ถ้วยตวง   *       
     พริกไทยสด                     30           กรัม ( สำหรับโรยหน้า )

* แป้งข้าวโพด กับ น้ำเปล่า ให้ละลายเข้าด้วยกัน
วิธีทำ
ทำจากเตาอบไฟฟ้าชาร์ป รุ่น EO-18K

วิธีทำสเต็กหมูม้วน
     1.   แล่สันคอหมู ให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พักไว้
     2.   คนส่วนผสมทั้งหมด ให้เข้ากัน ใส่หมูคลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง
           พักไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง  หรือนำเข้าตู้เย็น พักไว้ 1 วัน
     3.   ม้วนหมูให้แน่น เป็นท่อนกลม ใช้เชือกมัดให้เป็นท่อนๆ
     4.   วางบนถาดอบแล้ว ปิดเนื้อหมูด้วยกระดาษฟอยล์
           นำเข้าเตาอบ โดยวางไว้ชั้นกลาง
 ใช้ไฟบนและไฟล่าง
           อุณหภูมิ 250 องศาเซลเซียส เวลาประมาณ 20 - 25 นาที 
           แล้วนำกระดาษฟอยล์ออก อบต่ออีกประมาณ 20 - 25 นาที
           โดยใช้ อุณหภูมิเท่าเดิม หรือจนกระทั่งสุก
      5.  นำออกจากเตาอบ พักไว้พออุ่น หั่นเป็นชิ้นหนาประมาณ ½ นิ้ว
           ราดด้วยน้ำซอส จัดเสิร์ฟ
วิธีทำน้ำซอส
      1.  ผัดหอมหัวใหญ่กับเนย ให้สุก
      2.  เติมน้ำซุป พริกไทยดำ วิปปิ้งครีม เกลือป่น แป้งข้าวโพด
           คนส่วนผสมให้เข้ากัน  ต้มต่อจนแป้งสุก
      3.  ตักน้ำซอสราดบนสเต็กหมูม้วนโรยหน้าด้วยพริกไทยสด     

เว็บอ้างอิง :  http://variety.teenee.com/foodforbrain/49846.html

โดนัท



โดนัท (อังกฤษDoughnut, Donut) เป็นขนมแป้งทอดหรืออบ ที่มีเนื้อคล้ายกับขนมเค้ก มีลักษณะกลมมีรูตรงกลางคล้ายกับห่วงยาง มีหลายรสชาติ ถ้าเป็นของไทยจะมีน้ำตาลอยู่ที่ผิวของขนม โดนัทสามารถแบ่งออกตามกรรมวิธีการผลิตได้เป็น 2 ประเภท คือ โดนัทยีสต์ และโดนัทเค้ก
กระบวนการผลิตโดนัทยีสต์นั้น จะใช้ยีสต์เป็นส่วนประกอบในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู ซึ่งแตกต่างจากโดนัทเค้ก จะใช้ผงฟูในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู ดังนั้นรสชาติ และเนื้อสัมผัสจะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากโดนัทเป็นเพียงแป้งทอดธรรมดา ไม่มีรสชาติ ผู้ผลิตจึงได้เพิ่มสิ่งต่างๆลงไป เพื่อให้โดนัทมีรสชาติที่ดีขึ้น อาทิ สอดไส้ คลุกน้ำตาล เคลือบหน้าโดนัทด้วยสีสรรต่างๆ
ปัจจุบันโดนัทเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น สามารถหาซื้อได้ตั้งแต่บนห้างสรรพสินค้าจนถึงตลาดนัด ราคาขายแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่
ลงมือทำกันเล๊ยยย


1. ใส่ยีสต์ น้ำตาล ลงในนมอุ่น คนให้เข้ากัน พักไว้ 5 นาที นำมาเทใส่แป้ง ไข่แดง เนย นวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้ ประมาณ 1 ชม

2.  นำมารีด หนาประมาณ 1 ชม ใช้ปากแก้วตัดเป็น วงกลม ใช้ฝาขวดตัดวงตรงกลา
3. จะได้ดังนี้ แล้วพักไว้อีก 20 นาที 
4. 20 นาที ต่อมาเป็นอย่างนี้ค่ะ 
5. แล้วนำไปทอดในน้ำมันร้อนประมาณ 350 องศา น้ำมันประมาณ 2 เซน นะคะ ใช้หม้อเล็กๆ ทอดก็ได้ค่ะ 
6. น้ำราด (เอาหน้าไปจุ่มนั่นเอง อิอิ)
Sugar powder น้ำตาลไอซิ่ง
น้ำ
เนยละลายแล้ว
กลิ่นวานิลา 
1 ถ้วย3 ช้อนโต๊ะ
3 ช้อนโต๊ะ1/4 ช้อนชา

7. แท้น แทนนน เสร็จแล้วค่ะ

เว็บอ้างอิง :  http://www.zheza.com/magazine/article/759

องุ่น


องุ่น เป็นพืชยืนต้น มีลักษณะเป็นไม้พุ่มเลื้อย มีลักษณะเนื้อแข็งและมีลำต้น กิ่งถาวรอายุเกิน 1 ฤดู ถ้าปล่อยให้เจริญเติบโตตามธรรมชาติจะเลื้อยเกาะกิ่งไม้ ใบกลมขอบหยักเว้าลึก 5 พู โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ดอกออกเป็นช่อแยกแขนง ดอกย่อยขนาดเล็กสีเขียวมีหมวก จะหลุดออกเมื่อดอกบานกลีบดอกเมื่อบานสีขาว โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยก 5 กลีบ เป็นผลเดี่ยวที่ออกเป็นพวง (เป็นผลเดี่ยวที่เกิดจากดอกช่อแต่ดอกไม่หลอมรวมกัน) ผลย่อยรูปกลมรีและฉ่ำน้ำ มีผิวนวลเกาะและรสหวาน มีสีเขียว, ม่วงแดงและม่วงดำแล้วแต่พันธุ์ ในผลมีเมล็ดประมาณ 1 - 4 เมล็ดากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีการบ่งบอกว่ามีการปลูกองุ่นกันมามากกว่า 5,000 ปี องุ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในเขตหนาว เขตกึ่งร้อนกึ่งหนาว และเขตร้อน สำหรับประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่านำเข้ามาในสมัยใด แต่คาดว่าน่าจะนำเข้ามาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ท่านได้นำพันธุ์ไม้แปลกๆ จากต่างประเทศที่ได้เสด็จประพาสมาปลูกในประเทศไทย และเชื่อว่าในจำนวนพันธุ์ไม้แปลกๆ เหล่านั้นน่าจะมีพันธุ์องุ่นรวมอยู่ด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีหลักฐานยืนยันว่าเริ่มมีการปลูกองุ่นกันบ้างแต่ผลองุ่นที่ได้มีรสเปรี้ยว การปลูกองุ่นจึงซบเซาไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 ได้เริ่มมีการปลูกองุ่นอย่างจริงจัง โดย หลวงสมานวนกิจ ได้นำพันธุ์องุ่นมาจากมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และปี พ.ศ. 2497ดร.พิศ ปัญญาลักษณ์ ได้นำพันธุ์องุ่นมาจากทวีปยุโรปซึ่งสามารถปลูกได้ผลเป็นที่น่าพอใจ นับแต่นั้นมาการปลูกองุ่นในประเทศไทยจึงแพร่หลายมากขึ้น
อนึ่ง ในกฎมณเทียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา มีข้อความกล่าวถึง "ป้อมสวนองุ่น"[3] จึงเป็นไปได้ว่าน่าจะมีการนำพันธุ์องุ่นมาปลูกแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยาองุ่นมีสารอาหารที่สำคัญคือน้ำตาลและสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์ เช่น น้ำตาลกลูโคส, น้ำตาลซูโคส, วิตามินซี, เหล็กและแคลเซียม องุ่นยังสามารถนำไปทำเป็นเหล้าองุ่นซึ่งเป็นเหล้าบำรุงใช้เป็นยา การรับประทานองุ่นเป็นประจำมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง, บำรุงหัวใจ, แก้กระหาย, ขับปัสสาวะและบำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้ง แก่ก่อนวัยและไม่มีเรี่ยวแรง หากรับประทานองุ่นเป็นประจำจะสามารถช่วยเสริมทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้ ส่วนเครือและรากมีฤทธิ์ในการขับลม, ขับปัสสาวะ, รักษาโรคไขข้ออักเสบ, ปวดเอ็นและปวดกระดูก อีกทั้งยังมีฤทธิ์ระงับประสาท, แก้ปวดและแก้อาเจียนอีกด้วยซึ่งสามารถให้ผลผลิตได้ดี แต่เกษตรกรบางรายได้เปลี่ยนจากองุ่นเป็นพืชอื่น เนื่องจากมีปัญหาโรคแมลงระบาดมาก และแมลงดื้อยาไม่สามารถกำจัดได้ ทำให้พื้นที่ปลูกองุ่นในแถบนี้ลดลง พื้นที่ปลูกองุ่นได้ขยายไปในแถบภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้างเล็กน้อย แต่มีปัญหาเรื่องโรคแมลงระบาดมากทำให้พื้นที่ปลูกองุ่นไม่ค่อยขยายเท่าที่ควร

เว็บอ้างอิง :http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99

สุนัขชิวาวา

ชิวาวา หมาพันธุ์จิ๋ว (ไทยรัฐ)

          "เล็กใหญ่ไม่เกี่ยว มันอยู่ที่ใจ"…คำพูดนี้อย่าตีความหมายเป็นอย่างอื่น มันเป็นการยืนยันความรักของ "ชิวาวา" สุนัข ที่หลายคนรู้จักมักคุ้นว่า "หมากระเป๋า" ที่มีให้กับนายของมัน

          คุณวรุทัย แก้วกำแพง เจ้าของคอก สุนัข ชิวาวา ทีคัพสวีทโฮม อยู่หมู่บ้านเศรษฐสิริ สนามบินน้ำ นนทบุรี บอกว่า กำเนิด สุนัข ชิวาวา เชื่อกันว่าอยู่ในเม็กซิโก

          หลายๆ คนลงความเห็นว่า สุนัข ชิวาวา มีนิสัยที่ค่อนข้างติดเจ้าของและไม่ทำลายข้าว ขี้ประจบมาก อ้อน บางครั้งก็เป็น สุนัข ที่หยิ่งในตัว ถ้าไม่ใช่เจ้าของจะไม่ให้จับต้อง ปากเปราะเห่าเสียงดังเหมือน สุนัข พันธุ์เล็กตัวอื่นๆ ทำให้ สุนัข ชิวาวา เหมาะที่จะเลี้ยงไว้สำหรับเป็นเพื่อนมากกว่าหมาเฝ้าบ้าน

          สุนัข ชิวาวา เพศผู้อายุ 1 ปี จะเริ่มเป็นสัดซึ่งเร็วกว่าเพศเมีย เริ่มเหล่หนุ่มตอนช่วงอายุ 18 เดือน หลังจากผสมพันธุ์แล้วตกลูกเต็มที่ 1-3 ตัว น้ำหนักตั้งท้องจะมีขนาด 2 กิโลกว่า ลูกสุนัข มีน้ำหนัก 1 ขีด ไม่เกิน 2 ขีด มีขนาดเล็กมาก แรกเพิ่งคลอดต้องคอยดูแลให้ สุนัข กินนมแม่ ซึ่งช่วงนี้ควรระวังเรื่องโรคต่างๆ

          พออายุราวเดือนครึ่ง ควรเริ่มฝึกให้ สุนัข ชิวาวา กินอาหารเม็ดด้วยการแช่น้ำให้นิ่ม หรือผสมนมแพะเล็กน้อย หรือให้ อาหารเหลวสำหรับ ลูกสุนัข เป็นการฝึกให้สุนัขเลียหรือกินอาหารได้เอง

          สีสันกลายเป็นข้อแบ่งเกรดและราคาของ สุนัข ชิวาวา สีตามมาตรฐานสายพันธุ์ก็คือน้ำตาล แต่บรีด (ผสม) กันไปบรีดกันมา จนเกิดสีหลากหลาย เช่น สีซอค สีดำ สีน้ำตาล สีทั่วไปอย่างที่เห็น เป็นสีขาว ดำ สีแฟนซี

          ส่วนรูปร่างลักษณะที่เป็น สุนัข ชิวาวา ที่ดีสมบูรณ์แบบ หัวหรือกะโหลกศีรษะต้องกลม หน้าจะต้องสั้น ส่วนเรื่องลำตัวจะยาวหรือไม่แค่ไหนนั้นแล้วแต่ตัว สุนัข ขาต้องไม่ยาว ควรอยู่ในสัดส่วนที่พอดี ดูแล้วเป็นทรงสี่เหลี่ยม เมื่อมองจากลำตัวที่ตัดจากลำคอไปถึงหาง การเดินต้องเดินเตะเหมือนม้า วิ่งเหยาะๆ คล่องแคล่ว มีนิสัยที่ปราดเปรียว กระโดดโลดเต้น ชื่นชอบการออกกำลังกาย

          เมื่อ สุนัข ชิวาวา โตเต็มวัยน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8-2.7 กก. ซึ่งที่ฟาร์มจะบรีดได้เล็กสุดอยู่ที่น้ำหนัก 1.5 กก. แม้ว่ามันจะได้ชื่อว่าเป็น สุนัขที่ตัวเล็กที่สุดในโลกแล้วก็ตาม ปัจจุบันก็ยังมีคนผสมดูแลให้ ชิวาวา เล็กจิ๋วลงไปอีก และ ทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ!!..

          แม้ว่าหมากระเป๋าจะตัวเล็ก แต่อายุโดยเฉลี่ยของ สุนัข ชิวาวา อยู่ที่ 15 ปี ซึ่งเท่ากับ สุนัข สายพันธุ์อื่นๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลที่ต้องระวังเป็นพิเศษ…ทั้งสุขอนามัยและอย่าให้โรคภัยเบียดเบียน

          ...ถึงตอนนี้ก็คงอยากจะได้ สุนัข ชิวาวา มาเป็นเพื่อนแล้วซิ สำหรับหลายๆ คนที่คิดจะเปิดบ้านรับ สุนัข พันธุ์จิ๋วเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ แต่ยังไม่แน่ใจเรื่องการดูแล


เว็บอ้างอิง :  http://pet.kapook.com/view1121.html

แมว

แมว หรือ แมวบ้าน(ชื่อภาษาอังกฤษ:Cat, ภาษาจีน:猫, ภาษาญี่ปุ่น:猫 neko, ภาษาเกาหลี:고양이, ภาษาเปอร์เซีย:گربه )(ชื่อวิทยาศาสตร์:Felis catus) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อยู่ในตระกูล Felidae ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับสิงโตและเสือดาว ต้นตระกูลแมวมาจากเสือไซบีเรียน (Felis tigris altaica) ซึ่งมีช่วงลำตัวตั้งแต่จมูกถึงปลายหางยาวประมาณ 4 เมตร แมวที่เลี้ยงตามบ้าน จะมีรูปร่างขนาดเล็ก ขนาดลำตัวยาว ช่วงขาสั้นและจัดอยู่ในกลุ่มของประเภทสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร มีเขี้ยวและเล็บแหลมคมสามารถหดซ่อนเล็บได้เช่นเดียวกับเสือ สืบสายเลือดมาจากแมวป่าที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งลักษณะบางอย่างของแมวยังคงพบเห็นได้ในแมวบ้านปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแมวพันธุ์แท้หรือแมวพันทาง
แมวเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อประมาณ 9,500 ปีก่อน [5] ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของแมวคือการทำมัมมี่แมวที่ค้นพบในสมัยอียิปต์โบราณ หรือในพิพิธภัณฑ์อังกฤษในกรุงลอนดอน มีการแสดงสมบัติที่นำออกมาจากปิรามิดโบราณแห่งอียิปต์ ซึ่งรวมถึงมัมมี่แมวหลายตัว ซึ่งเมื่อนำเอาผ้าพันมัมมี่ออกก็พบว่า แมวในสมัยโบราณทุกตัวมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเป็นแมวที่มีรูปร่างเล็ก ขนสั้นมีแต้มสีน้ำตาล มีความคล้ายคลึงกับพันธุ์ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าแมวอะบิสสิเนียน
คนไทยน้อยคนนักที่จะรู้จักว่าแมวไทยจริงๆนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ทว่าแมวไทยพันธุ์แท้นั้นกลับไปมีชื่อเสียงโด่งดังที่ต่างประเทศมากกว่าในเมืองไทย ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นพันธุ์อันเลิศพันธุ์หนึ่งในโลก และมีความมหัศจรรย์ยิ่งกว่าพันธุ์ใดๆ เมื่อปี พ.ศ. 2427 ชาวอังกฤษชื่อนายโอเวน กูลด์ (Owen Gould) กงสุลอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้นำแมวไทยคู่หนึ่งจากประเทศไทยไปฝากน้องสาวที่อังกฤษ อีกหนึ่งปีต่อมา แมวคู่นี้ถูกส่งเข้าประกวดในงานประกวดแมวที่คริสตัลพาเลซ กรุงลอนดอน ปรากฏว่าชนะเลิศได้รางวัลที่หนึ่ง ทำให้ชาวอังกฤษพากันแตกตื่นเลี้ยงแมวไทยกันจนมีสโมสรแมวไทยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2443 ชื่อว่า The Siamese Cat Clubs ต่อมาในปี พ.ศ. 2471 ได้มีการตั้งสมาคมแมวไทยแห่งจักรวรรดิอังกฤษขึ้น หรือ The Siamese Cat Society of the British Empire ขึ้นมาอีกสมาคมหนึ่ง
แมวที่นายโอเวน กูลด์ นำไปจากประเทศไทยนั้น มีแต้มสีครั่งหรือน้ำตาลไหม้เก้าแห่ง คือหน้า หูทั้งสองข้าง เท้าทั้งสี่ หาง และอวัยวะเพศ ซึ่งถือว่าเป็นแต้มสีที่อยู่ในบริเวณที่เหมาะสมและไม่เลอะเทอะเหมือนแมวพันธุ์อื่น และเมื่อนำแมวไทยไปผสมกับแมวพันธุ์อื่น จะได้แต้มสีตามร่างกายในตำแหน่งเดียวกัน แต่รูปร่างจะไม่สง่างามเท่า และอุปนิสัยจะไม่เหมือนกันด้วย ซึ่งแมวไทยพันธุ์นี้เป็นพันธุ์แรกที่ชาวต่างชาติรู้จัก จึงมักเรียกกันทั่วไปว่า Siamese Cat หรือ Seal Point ส่วนในสมุดข่อยโบราณของไทยให้ชื่อแมวไทยลักษณะนี้ว่า "แมววิเชียรมาศ" คุณสมบัติอันโดดเด่นของแมวไทยอีกประการหนึ่งก็คือ อุปนิสัยที่มีความฉลาด รักบ้าน รักเจ้าของ เป็นตัวของตัวเอง รู้จักประจบ และที่สำคัญคือ การรักอิสระเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัว และทำให้แมวไทยเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงไปทั่วโลก และเป็นที่น่าสังเกตว่า การผสมพันธุ์ระหว่างแมวไทยและแมวต่างชาตินั้น แม้จะได้แมวที่มีลักษณะและสีเหมือนแมวไทย แต่จะไม่ได้อุปนิสัยตามอย่างแมวไทยไปด้วย นอกจากว่าจะเป็นการผสมระหว่างแมวไทยด้วยกันเองเท่านั้น
ในสมุดข่อยโบราณได้กล่าวถึงแมวไทยไว้ถึง 23 ชนิด ซึ่งเป็นแมวดี (แมวให้คุณ) 17 ชนิด และแมวร้าย (แมวให้โทษ) 6 ชนิด ซึ่งในปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว 13 ชนิด เหลือเพียง 4 ชนิดเท่านั้นในปัจจุบัน ได้แก่แมววิเชียรมาศ แมวโคราช แมวศุภลักษณ์ และแมวโกญจา ส่วนแมวขาวมณีนั้นแม้จะไม่ได้บันทึกอยู่ในสมุดข่อยก็ตาม แต่ก็ถือเป็นแมวไทย ต่อมาภายหลังได้ค้นพบแมวแซมเสวตรซึ่งเดิมทีเคยเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว โดยค้นพบไม่กี่ปีมานี้

เว็บอ้างอิง  :   http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7

น้ำส้มคั่น




ส่วนผสม
ส้มเขียวหวาน 220 กรัม (3 ผลขนาดกลาง)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5 ช้อนชา)
วิธีทำ
      นำส้มมาล้างเปลือกให้สะอาดใช้มีดผ่าขวางลูก คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือ ตักเอาเมล็ดออก ชิมรสตามชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอมาก ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ช่วยบำรุง กระดูก และ ฟัน
คุณค่าทางยาป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันโรคเลือดออกตาม ไรฟัน
น้ำส้มคั้น 
การเตรียมน้ำส้มนั้น ปกติแล้วน้ำส้มคั้นจะใช้ส้มเขียวหวานผลใหญ่ เพราะส้มเขียวหวานผลใหญ่จะให้น้ำส้มที่มีรสชาติหวาน สามารถคั้นเอาน้ำรับประทานได้ทันที หรือจะเติมเกลือเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติก็ได้ เมื่อเตรียมเสร็จแล้วเทใส่แก้วพร้อมเสิร์ฟ (ปกติแล้วแก้วที่ใส่จะเป็นแก้วเปล่าไม่ใส่น้ำแข็งเพราะน้ำส้มจะมีรสหวานอ่อนๆ ถ้าเติมน้ำแข็งลงไปอีกจะทำให้น้ำส้มจืดเสียรสชาติ)

เว็บอ้างอิง :  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1